วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554
My first program
เป็นงานที่ทำให้เกิดความระเบียบมากขึ้น เพราะว่าในการเปิดไปอีกหน้าถัดไปเราได้ทำการเชื่อมโยงเอาไว้ ทำให้งานต่อการเปิดอีกหน้าหรือวานไฟล์อื่น
PROGRAM MATH BASIC (การคูณ)
โปรมแกรมตัวนี้เป็นโปรแกรมที่ใช้ฝึกพัฒนาทักษะของเด็กในเรื่องคณิตศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งโปรแกรมตัวนี้จะประกอบด้วย การคูณ สนุกกับการเล่นน่ะค่ะ ^__^
PROGRAM MATH BASIC G5
โปรแกรมตัวนี้เป็นโปรแกรมที่ใช้ฝึกพัฒนาทักษะของเด็กในเรื่องคณิตศาสตร์เบื้องต้น ก็จะประกอบด้วย การบวก การลบ การคูณ การหาร
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วิธีการวัด size รองเท้าทางนี้จ้า
û วัตถุดิบที่ต้องใช้
1.กระดาษ 1แผ่น
2.ดินสอ หรือปากกา
3.เทปกาว หรือ สก๊อตเทป
4.ไม้บรรทัด (อย่าใช้สายวัดนะคะ)
การเลือกรองเท้า
◌ รองเท้าสำหรับผู้หญิง ◌
รองเท้าที่ดีควรจะส้นเตี้ยและปลายเท้ากว้างแต่สำหรับคุณผู้หญิงมักจะเลือกรองเท้าส้นสูงปลายเท้าแคบซึ่งทำให้เกิดอาการปวดเท้า นิ้วเท้า น่องและหลัง
◌ การเลือกรองเท้ากีฬา ◌
สำหรับผู้ที่เล่นกีฬามากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ โปรดจำไว้ว่าหากท่านวิ่ง 400-800 กิโลเมตร เดินเป็นระยะทางจำนวนไม่น้อย รองเท้าที่ท่านใส่จะสูญเสียคุณสมบัติการกันกระแทกจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนรองเท้า เรื่องที่นำเสนอจะเป็นแนวทางในการเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับกีฬาและขนาดที่พอดี
◌ รองเท้าวิ่ง ◌
รองเท้าวิ่งที่ดี จะต้องมีแผ่นรองเท้าที่กันกระแทก และจะต้องมีหุ้มส้นที่พอเหมาะ รองเท้าที่ดีจะป้องกันเอ็นอักเสบ ปวดส้นเท้า และกระดูกหัก
◌ รองเท้าสำหรับเดิน ◌
ควรเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา และควรมีแผ่นกันกระแทกที่ส้นเท้า และกลางบริเวณฝ่าเท้าซึ่งจะช่วยลดอาการปวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า พื้นรองเท้าจะออกป้านๆเพื่อให้การถ่ายน้ำหนักจากส้นเท้าไปยังนิ้วเท้าและลดแรงที่ฝ่าเท้า รองเท้าสำหรับเดินจะมีส่วนหน้าซึ่งค่อนข้างแข็งกว่ารองเท้า
ลักษณะรองเท้าที่ดี
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVb5gLV2jDZ_WkQxxvKUMiQxne8jxiCeMfGvxDvEDy5_2c5R_mfTwL08vOHlTVlE8tIduB7XzNrRrgtYSSZpmfKZj1tkhJfPlz2vwZguUIZ7MbfGNqXFsfRL-ezM0VtOqdSthWqlCitG0/s320/Q06043993.jpg)
รองเท้ามีประโยชน์ที่สำคัญ คือ ใช้ป้องกันเท้าเช่นตะปูตำและลดการกระแทกเวลาเราเดิน รองเท้าที่ดีต้องใส่พอดีกับเท้า การที่รองเท้ากว้างหรือแคบไปจะทำให้เกิดการได้รับบาดเจ็บและเท้าพิการ ส่วนประกอบของรองเท้ามีดังนี้
1. ส่วนที่หุ้มนิ้วเท้า (toe box) ซึ่งอาจจะมีรูปร่างกลมหรือออกเหลี่ยม เมื่อใส่รองเท้าแล้วจะต้องมีพื้นที่ให้นิ้วเท้าขยับ
2. ส่วนบนบริเวณที่เป็นรูรองเท้าใช้เชือกผูกเรียกว่า vamp ควรจะทำจากผ้าหรือหนังหากแข็งเกินไปจะทำให้เกิดตาปลา ควรใส่รองเท้าที่ใช้เชือกผูก
3. ส่วนพื้นรองเท้า SOLE ซึ่งประกอบด้วยพื้นด้านที่เท้าเราสัมผัสเรียกว่า Insole ส่วนพื้นรองเท้าเราเรียกว่า Outsole สำหรับแผ่นที่รองรับแรงกระแทกอยู่ระหว่างกลางเรียก Midsole และส่วนที่สัมผัสกับพื้น พื้นรองเท้าที่ดีควรจะนุ่มเพื่อกันการกระแทกและพื้นรองเท้าไม่ควรหนาเกินไป
4. ส่วนส้นเท้า HEEL เป็นส่วนที่สำคัญเพราะเป็นส่วนรับน้ำหนักเวลาเราเดิน ควรจะเลือกส้นเท้าที่กว้างและนุ่มส้นรองเท้าไม่ควรเกิน 2 นิ้วส้นยิ่งสูงจะทำให้เจ็บฝ่าเท้าได้มากขึ้น
5. ส่วนพื้นบริเวณส้นเท้า Heel Couter เป็นส่วนที่อยู่บริเวณส้นเท้าเพื่อให้เวลาเดินเท้ามีความมั่นคงไม่ล้ม ควรบุด้วยวัสดุที่นุ่ม
6. Heel tab คือส่วนของรองเท้าที่ล้อมรอบเอ็นร้อยหวาย ควรจะบุด้วยวัสดุที่นุ่ม
7. ส่วนที่บุในรองเท้าควรจะทำด้วยวัสดุที่นุ่มและที่สำคัญต้องไม่มีตะเข็บ
พื้นส่วนที่เว้าเข้าของพื้นรองเท้า (ส่วนที่ทำให้เราบอกว่าเป็นเท้าข้างซ้ายหรือขวา)
การเลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้า
1. รองเท้าแต่ละบริษัทและแต่ละรุ่น แม้ว่าจะเบอร์เดียวกันแต่ขนาดไม่เท่ากัน เวลาเลือกต้องทดลองกับเท้าตัวเองทุกครั้ง
2. เลือกรองเท้าที่มีลักษณะเหมือนเท้าของตัวเอง อย่าตามแฟชั่นมากเกินไปเพราะจะทำให้เท้าท่านมีปัญหา
3. ต้องวัดขนาดของเท้าเป็นประจำ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นเท้าจะมีขนาดใหญ่ขึ้น
4. ควรจะซื้อรองเท้าชนิดใช้เชือกผูก เพราะจะทำให้พอดีกับเท้า
5. เท้าสองข้างจะไม่เท่ากัน ต้องวัดทั้งสองเท้าและเลือกรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้าข้างที่ใหญ่กว่า
6. เลือกซื้อรองเท้าตอนบ่ายๆหรือเย็นๆ เนื่องจากช่วงนั้นเท้าจะมีขนาดใหญ่
7. เวลาทดลองใส่รองเท้าให้ยืนและให้ตรวจสอบว่า เมื่อใส่รองเท้านิ้วที่ยาวที่สุดจรดปลายข้างหนึ่งส่วนปลายอีกข้างหนึ่งมีพื้นที่เหลือประมาณ ครึ่งนิ้ว
8. ควรจะสวมถุงเท้าคู่ที่ใส่เป็นประจำ ไปลองรองเท้าคู่ใหม่ ให้แน่ใจว่าฝ่าเท้า พอดีกับส่วนกว้างที่สุดของรองเท้า
9. เมื่อใส่รองเท้าแล้ว นิ้วเท้าสามารถขยับได้ทุกนิ้ว
10.อย่าซื้อรองเท้าที่แคบเกินไป โดยหวังว่ามันจะขยาย
11. ส้นเท้าควรจะพอดีส้นรองเท้า ไม่หลวมเกินไป
12. เวลาทดลองใส่รองเท้าให้ใส่เดินเพื่อตรวจดูว่าพอดีกับเท้าหรือไม่ ใส่แล้วสบายหรือไม่
ทายนิสัยจากการใส่รองเท้า
ทราบหรือไม่ว่า การเลือกรองเท้าใส่ก็สามารถทายนิสัยได้เหมือนกัน
1. รองเท้าแตะ คนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ ชีวิตดูจะเป็นคนเรียบง่าย สบาย ๆ ไม่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ชอบการท่องเที่ยวแบบตั้งแคมป์ลุย ๆ
2. รองเท้าหนัง คนที่ชอบใส่รองเท้าหนัง เป็นคนที่ชอบความเลิศหรู ชอบความทันสมัย แต่เป็นคนที่ช่างเอาอกเอาใจ ใส่ใจทุกรายละเอียด
3. รองเท้ากีฬา คนที่ชอบใส่รองเท้ากีฬา เป็นคนที่ชอบเทคแคร์คนอื่น และชอบให้ความช่วยเหลือ ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ
4. รองเท้าบู้ท คนที่ชอบใส่รองเท้าบู้ท เป็นคนที่รักความก้าวหน้า มีความมุ่งมั่นมาก เมื่อตั้งใจทำสิ่งใดแล้วจะใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งนั้น จนสำเร็จลุล่วงดังใจ ชอบเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นคนที่ดูสุขุมใจเย็น
๛๛๛ ใครเลือกใส่รองเท้าแบบไหนก็ลองนำไปทายนิสัยกันดูได้ ๛๛๛
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
…แต่จะปฏิเสธยังไงดี เพื่อไม่ให้หักหาญน้ำใจ?!
คุณๆ หลายคน คงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ หรือคล้ายกันนี้มาอย่างแน่นอน โอ้ว! เกิดมาเป็นคนขี้เกรงใจ กลุ้มใจจังเลย ครั้นจะปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย สัมพันธภาพที่ดีก็มีอันขาดสะบั้น แต่ครั้นจะตอบตกลงก็ทำไม่ได้เพราะสุดท้ายแล้ว การเซย์เยส (say yes) ก็อาจทำให้ตัวเองต้องลำบาก หรือยุ่งยากใจ ถึงขนาดมีผลสำรวจออกมาเตือนกันเลยทีเดียว ว่าการฝืนตอบตกลง ในขณะที่ใจตัวเองอยากปฏิเสธนั้น ส่งผลให้เกิดภาวะเครียด ปวดหัว ปวดไหล่ และมีบางรายถึงขั้นนอนไม่หลับด้วย
น่ากลัวมิใช่น้อย!
ไม่รอช้า มาศึกษากันดีกว่า ว่าหลักในการตอบปฏิเสธแบบมีมารยาทเป็นอย่างไร เทคนิคการตอบปฏิเสธให้เนียน แบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น มีอะไรบ้าง เผื่อสาวๆ จะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองได้ไงล่ะ
หลักการเบื้องต้น ที่จะทำให้คุณตอบปฏิเสธได้อย่างมีมารยาทนั้น แนะนำให้ท่อง 3 คำนี้ไว้เสมอ “จริงใจ ใจเย็น และสุภาพ” นั่นคือ ก่อนจะตอบปฏิเสธใครสักคนให้คุณทำใจเย็นๆ แล้วตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ส่วนเรื่องของการตอบปฏิเสธให้ดูจริงใจนั้น หลักการสำคัญก็คือ ต้องตอบปฏิเสธในระยะเวลาอันรวดเร็ว อย่าเพิกเฉยเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียดื้อๆ หรือทำทีเป็นคิดนาน กว่าจะเปิดปากปฏิเสธได้ ก็ปล่อยให้คนถามรอไปนานโข ทำเยี่ยงนั้นไม่น่ารักสุดๆ แถมยังทำให้คู่สนทนามองว่า คุณไม่จริงใจกับเขาเอาเสียเลยดังนั้นหากจะปฏิเสธให้พูดออกไปตรง ๆ อย่ารอช้า อย่าคิดนาน จะดูจริงใจที่สุด
6 เทคนิคการปฏิเสธขั้นเทพ
1) ตอบปฏิเสธออกไปตรงๆ โดยพูดเน้นคำว่า “ไม่” สัก 2 ครั้ง เพื่อให้คู่สนทนารู้ว่า คุณไม่ต้องการ หรือทำในสิ่งที่เขาขอร้องไม่ได้จริงๆ ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “ขอบคุณ” ให้ดูดีมีมารยาท
ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่ หลายคนต้องพบเจออยู่เป็นประจำ เช่น หากมีใครมาชวนไปทานข้าวกลางวัน แต่คุณไม่อยากไป หรือไปไม่ได้ให้ตอบว่า “ไม่ค่ะ ฉันไปไม่ได้จริงๆ ขอบคุณค่ะที่ชวน”
2) การสะท้อนถึงคำว่า “ไม่” สำหรับเทคนิคนี้มีหลักการคือ ก่อนคุณจะปฏิเสธนั้น ให้คุณขึ้นต้นด้วยประโยคที่สื่อได้ว่า คุณรู้ในสิ่งที่คนชวนต้องการ แต่คุณก็ไปด้วยไม่ได้จริงๆ (สะท้อนให้เขารู้ ว่าคุณเข้าใจความต้องการหรือเจตนาเขา ก่อนจะตอบปฏิเสธ)
ตัวอย่าง “ฉันทราบค่ะว่าคุณอยากคุยกับฉัน เกี่ยวกับแผนงานประจำปีในมื้อกลางวันนี้ แต่ฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
3) บอกเหตุผลในการปฏิเสธ สำหรับเทคนิคนี้ ต้องเน้นนะคะว่า ให้บอกเหตุผลในการปฏิเสธเพียงสั้นๆ เท่านั้น เอาแบบ สั้น ง่าย ได้ใจความ อย่าเยิ่นเย้อ หรือชักแม่น้ำทั้ง 5 มาสาธยาย เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดูน่ารำคาญ และไม่จริงใจ เหมือนพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธมากกว่า
ตัวอย่าง “ฉันคงไปทานข้าวเย็นกับคุณไม่ได้ เพราะมีงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในค่ำนี้”
4) ปฏิเสธแบบต่อรอง อันนี้เป็นมุมมองการปฏิเสธแบบนักธุรกิจสักหน่อย หลักการอยู่ที่ว่า หากคุณทำในสิ่งที่เขาขอร้อง หรือชักชวนในครั้งนี้ไม่ได้ ก็ให้ยื่นข้อเสนอไปว่า เอาไว้คราวหน้าได้ไหม?
ตัวอย่าง “ฉันไปทานข้าวกับคุณวันนี้ไม่ได้จริงๆ เอาไว้เป็นโอกาสหน้าก็ได้ไหมคะ”
5) การปฏิเสธแล้วถามกลับ เทคนิคข้อนี้มีหลักการคือ เมื่อพูดปฏิเสธไปแล้ว ให้ยิงคำถามกลับไปทันที
ตัวอย่าง (ขอยกตัวอย่างประโยคการปฏิเสธที่แอบหยอดคนชวนไว้เล็กๆ) “เราคงไปทานข้าวมือกลางวันในวันนี้ไม่ได้จริงๆ แต่มันจะมีโอกาสหน้าอีกไหมคะ ที่เราจะได้ไปทานด้วยกัน”
6) ทวนคำปฎิเสธ เทคนิคสุดท้ายนี้ ถือว่าได้รับความนิยมที่สุด เพราะเป็นเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า เราใส่ใจเขา และในความจริงแล้ว เราเองก็ไม่ปฏิเสธเขาแต่มันจำเป็นต้องปฏิเสธจริงๆ นั่นคือ เทคนิคการทวนคำปฏิเสธหลายๆ รอบ ด้วยประโยคต่อๆ กัน
ตัวอย่าง “เราคงไปทานข้าวกับเธอไม่ได้จริงๆ อยากไปด้วยนะแต่ไปไม่ได้ จริงๆ นะ ถ้าไปได้วันนี้คิดว่าจะเลี้ยงเธอเลย แต่มันไปไม่ได้จริงๆ” (แอบขำทำเป็นเนียนว่าจะเลี้ยงเขาซะด้วย)
หวังว่าเทคนิคการปฏิเสธแบบเนียนๆ ทั้ง 6 แบบนี้ จะเป็นประโยชน์กับคุณสาวๆ ขี้เกรงใจทั้งหลายบ้างนะคะ เพราะในบางสิ่งที่เราไม่ยินดีจะทำ ก็ต้องลดความเหนียมกล้าปฏิเสธเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาลำบากใจทีหลังจนเครียดกันอีกจริงไหมคะ
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
กำเนิดวันวาเลนไทน์ เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุด เพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน่ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันถัดมา คือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชายหนุ่มก็คือ การจับฉลาก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ชื่อของเด็กสาวจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษและใส่ลงในไห ชายหนุ่มแต่ละคนจะจับฉลากเพื่อเลือกคู่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บ่อยครั้งที่หนุ่มสาวต่างถูกใจกัน และแต่งงานกันในเวลาต่อมา
ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 แห่งโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องมาจาก ไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นเอง พระรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ซึ่งอาศัยอยู่ในโทรม ได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้ท่านถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 ซึ่งตรงกับเทศกาลลูเพอร์คาร์เลีย ตามประเพณีโบราณพอดี ณ โอกาสนี้เอง กลุ่มคนนอกศาสนาได้รื้อฟื้นประเพณีจับฉลากขึ้นมาใหม่ โดยชายหนุ่มจะเป็นผู้เขียนชื่อหญิงสาวลงไปด้วยตัวเอง ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียม ที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)